พระปัญญาวชิรโมลี หรือ พระครูวิมลปัญญาคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เดิมทีท่านพระครู เป็นคน อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ครอบครัวมีปัญหาทำให้ท่านออกจากโรงเรียนตั้งแต่เด็ก เมื่อท่านออกมาใช้ชีวิตบนโลกเพียงลำพังจึงทำให้ท่านเริ่มมองสิ่งต่างๆรอบตัวว่าทำไมโลกใบนี้ถึงต้องการแค่ วัตถุนิยม
พระปัญญาวชิรโมลี (พระครูวิมลปัญญาคุณ) นามเดิม นพพร สู่เสน ฉายา ธีระปัญโญ พรรษา 25 อายุ 48 ปี เป็นที่รู้จักในวงกว้างว่าเป็น “พระนักพัฒนา” จากการที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนศรีแสงธรรม หรือ “โรงเรียนเสียดายแดด” เพราะท่านพระครูวิมลปัญญาคุณ ได้นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาโซลาร์เซลล์มาต่อยอดเป็นพลังงานทดแทนไว้ใช้ในโรงเรียน และสร้างระบบ Smart Farm, รถเข็นนอนนา (สถานีไฟฟ้าเคลื่อน), บ้านกินแดด, รถไฟฟ้า Ev Car จากแผงโซลาร์เซลล์ เป็นต้น จนทำให้ลูกศิษย์บางคนตั้งฉายาให้ท่านทั้ง “พระเสียดายแดด” และ “พระครูโซลาร์เซลล์”
นอกจากเรื่องพลังงานแล้วยังนำความรู้ทางการเกษตรมาพัฒนาชุมชนพื้นที่ 20 ไร่ ของวัดป่าศรีแสงธรรม นั้น มีพื้นที่แปลงนา และโรงเรียนศรีแสงธรรม โรงเรียนที่เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ภายในโรงเรียน ทั้งในด้านการประหยัดพลังงาน ลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และยังเป็นสื่อสารสอนให้กับนักเรียนภายในโรงเรียน รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ อีกด้วย เพื่อให้โรงเรียนศรีแสงธรรม ใช้เป็นแปลงนาสาธิตให้นักเรียนรู้จักวิชาดำนาและเกี่ยวข้าวเอง จนได้ผลผลิตข้าวเปลือกมาเป็นอาหารกลางวัน
ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นแปลงสาธิตโคก หนอง นา และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อโครงการว่า ‘’โครงการพระราชทานโคกหนองนา แห่งน้ำใจและความหวัง” วัดป่าศรีแสงธรรม และพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ มาสนับสนุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรม ชื่อ ศาลาปฏิบัติธรรมโคก หนอง นา ณ วัดป่าศรีแสงธรรม เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและเป็นการสืบทอดบวรพุทธศาสนาด้วย
ท่านริเริ่มสร้างแหล่งเรียนรู้พลังงานทดแทน “โคกอีโด่ยวัลเล่ย์” ณ โรงเรียนศรีแสงธรรม และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบโคกหนองนา จนเป็นที่โด่งดัง
นอกจากนี้ พระครูวิมลยังเป็นประธาน “กองทุนแสงอาทิตย์” กองทุนที่เกิดขึ้นจากหลายเครือข่ายภาคประชาชนที่ระดมทุนจากประชาชนทั่วประเทศเพื่อนำเงินมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้กับโรงพยาบาลรัฐในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าที่โรงพยาบาลต้องแบกรับทุกๆเดือนเป็นจำนวนมาก และสนับสนุนให้พลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์แผ่ขยายออกไปในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทย
วัดป่าศรีแสงธรรมและโรงเรียนศรีแสงธรรม จึงเป็นทั้งศาสนสถานและสถาบันการศึกษาที่มีวิวัฒนาการทางการพัฒนาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นับได้ว่า เป็นสถาบันที่มีโครงสร้างและหน้าที่เกื้อกูลให้เกิดภารกิจแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ ในการแก้ปัญหาภัยแล้ง ลดปัญหาความอดอยากหิวโหย หรืออาจกล่าวได้ว่ามีผลสัมฤทธิ์และผลผลิตทั้งรูปธรรมและนำมาทำจากการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติ จนเกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลและแก่สังคมในทุกมิติ
รายงานโดย วรรณะ มหากิตติคุณ อาสาพาบุญ